พระไชยสุริยา
พระไชยสุริยา
กวี : สุนทรภู่
ประเภท : นิทาน
คำประพันธ์ :กาพย์
สมัย : ต้นรัตนโกสินทร์
ชื่ออื่น : กาพย์พระไชยสุริยา
ลิขสิทธิ์ :กรมศิลปากร
พระไชยสุริยา เป็นวรรณคดีที่ประพันธ์โดย สุนทรภู่ เป็นนิทานสำหรับสอนการเขียนอ่าน โดยมีบทอ่านเรียงลำดับการสะกดคำตั้งแต่ แม่ ก กา ตามด้วย แม่กน แม่กง แม่กก แม่กด แม่กบ แม่กม จนถึงแม่เกย ตามลำดับ ลักษณะการประพันธ์แบบกาพย์ประเภทต่างๆ คือ กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16 และกาพย์สุรางคนางค์ 28 เชื่อว่าสุนทรภู่ประพันธ์ขึ้นในราวปี พ.ศ. 2383-2385 สำหรับใช้เป็นบทเรียนเขียนอ่านของหม่อมเจ้าพระองค์น้อยๆ
กาพย์พระไชยสุริยา ได้บรรจุอยู่ในหนังสือ มูลบทบรรพกิจ ซึ่งเป็นแบบเรียนของไทยที่จัดทำโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5
ขุนช้างขุนแผน
วิกิซอร์ซ มีข้อมูลต้นฉบับเกี่ยวกับ:
ขุนช้างขุนแผน
ขุนช้างขุนแผน เป็นนิยายพื้นบ้านที่ภายหลังกลายเป็นวรรณคดีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้รัตนกวีในสมัยของพระองค์ร่วมกันแต่งขึ้นเป็นร้อยกรอง ใช้กลอนสุภาพเพื่อขับเสภา เรียกว่า กลอนเสภา เชื่อว่ามีเค้าโครงจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตัวละครหลัก
ขุนแผน ขุนช้าง นางพิมพิลาไลย (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วันทอง) พลายงาม ในสมัยสมเด็จพระพันวษา(พระองค์คือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒แห่งกรุงศรีอยุธยา)ครองกรุงศรีอยุธยาทรงมีนิสัยคือ ทรงพระพิโรธง่าย แต่พระองค์ก็เป็นกษัตริย์ที่มีความยุติธรรมต่อบรรดาเสนาอำมาตย์ ทหารและราษฎร์พอสมควร ในคราวที่มีคดีพ้องร้องกัน เช่น ในคราวที่จมื่นไวยวรนาถหรือพลายงามถูกนางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์ พระองค์ก็โปรดให้นำทั้ง 3 คนคือ จมื่นไวยวรนาถ,นางสร้อยฟ้าและนางศรีมาลา ไปเข้าเฝ้าเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง แต่นางสร้อยฟ้ากลับโทษพลายชุมพลว่าพลายชุมพลเป็นชู้กับนางศรีมาลาพระองค์ก็โปรดให้นางสร้อยฟ้าและนางศรีมาลาลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของทั้ง 2 คน ครั้นพบว่านางสร้อยฟ้าทำความผิดก็โปรดให้ประหารชีวิตนาง แต่นางตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน นางกลัวลูกจะต้องตาย พระองค์ก็เพียงแค่เนรเทศนางออกไป ซึ่งนับว่าเป็นโทษสถานเบา นางจึงเดินทางกลับเชียงใหม่พร้อมกับเถรขวาดและนางไหมบ่าวของนางสร้อยฟ้า ณ เมืองสุพรรณบุรีมีครอบครัวสามครอบครัวอย่ 3ครอบครัวเป็นเพื่อนกัน คือครอบครัวขุนไกรพลพ่ายกับนางทองประศรี มีลูกชายชื่อพลายแก้ว(ต่อมาคือขุนแผน) ครอบครัวของขุนศรีวิชัยกับนางเทพทอง มีลูกชายชื่อขุนช้าง และครอบครัวของพันศรโยธากับนางศรีประจัน มีลูกสาวชื่อนางพิมพิลาไลย
โคบุตร
โคบุตร
กวี : สุนทรภู่
ประเภท : นิทานคำกลอน
คำประพันธ์ :กลอนสุภาพ
สมัย : ต้นรัตนโกสินทร์
ปีที่แต่ง : ราวรัชกาลที่ 2
ลิขสิทธิ์ :กรมศิลปากร
โคบุตร เป็นกลอนนิทานเรื่องแรกของสุนทรภู่ แต่งขึ้นเพื่อถวายเจ้านายในพระราชวังหลังพระองค์หนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ โคบุตรซึ่งเป็นลูกของพระอาทิตย์และนางอัปสร โดยฝากเลี้ยงไว้กับพญาราชสีห์ และนางไกรสร เมื่อเจริญชันษาโคบุตรซึ่งได้รับของวิเศษจากพระอาทิตย์ คือ แหวน และสังวาล และได้รับมอบใบยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้มีชีวิตได้จากราชสีห์ ต่อจากนั้นจึงเป็นเรื่องาวการผจญภัยของโคบุตร ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่งในตอนท้ายที่โคบุตรมีพระมเหสีสองคน คือ นางอำพันมาลา และนางมณีสาคร นางอำพันมาลาเห็นโคบุตรรักนางมณีสาครมากกว่าตน จึงทำเสน่ห์ให้โคบุตรหลงรัก แต่อรุณกุมารได้แก้ไขเสน่ห์ โคบุตรโกรธมากถึงกับสั่งประหาร แต่อรุณกุมารขอร้อง โคบุตรจึงขับไล่นางอำพันมาลาออกจากวัง ดังต่อไปนี้
โฉมอำพันมาลาน้ำตาไหล เห็นชาวในพระสนมมาคับคั่ง
ค่อยหยุดยืนฝืนองค์ทรงประทัง เหลียวมาสั่งสาวสวรรค์กำนัลใน
จงปกป้องครองกันเป็นผาสุก อย่ามีทุกข์เศร้าสร้อยละห้อยไห้
เรามีกรรมจำลาเจ้าคลาไคล หักพระทัยออกจากทวารา
[ซ่อน]
ด • พ • ก
กวีนิพนธ์ ของ สุนทรภู่
นิราศ
นิราศเมืองแกลง • นิราศพระบาท • นิราศอิเหนา • นิราศภูเขาทอง • นิราศวัดเจ้าฟ้า • นิราศสุพรรณ • นิราศเมืองเพชร • นิราศพระประธม • รำพันพิลาป
นิทาน
โคบุตร • ลักษณวงศ์ • พระอภัยมณี • สิงหไตรภพ • พระไชยสุริยา
สุภาษิต สวัสดิรักษา • เพลงยาวถวายโอวาท • สุภาษิตสอนหญิง
บทเสภา
ขุนช้างขุนแผน (ตอน กำเนิดพลายงาม) • เสภาพระราชพงศาวดาร
บทละคร อภัยนุราช
บทเห่กล่อมพระบรรทม เห่เรื่องพระอภัยมณี • เห่เรื่องโคบุตร • เห่เรื่องจับระบำ • เห่เรื่องกากี
โคลงทวาทศมาส
ทวาทศมาส แปลว่า สิบสองเดือน เป็นโคลงดั้นทำนองนิราศความพิศวาสเป็นอย่างเอกเรื่องหนึ่ง เข้าใจว่าจะมีหลายท่านนิพนธ์ อาทิ พระเยาวราช ขุนพรหมมนตรี ขุนศรีกวีราช ขุนสารประเสริฐ เป็นต้น (บางตำราว่ามีเท่านี้ บางตำราว่ามากกว่านี้ แต่ในนิราศนรินทร์กลับว่า "สามเทวษ ถวิลแฮ" ซึ่งแปลว่า "มีสามท่าน")
ที่ว่าประดิษฐการใหม่ของวงการ อยู่ที่โคลงพรรณาความอาลัยรัก ซึ่งใช้ฤดูกาลเป็นพื้นฐานแห่งการพัฒนา เช่น เมื่อถึงเดือนแปดก็กล่าวถึงการเข้าพรรษา กวีจะแต่งถึงการทำบุญ แต่มิวายจิตใจหวนระลึกถึงนางอันเป็นที่รัก
(ต่อจากนี้เป็นข้อความในหนังสือประวัติวรรณคดีไทย ของเปลื้อง ณ นคร)
กรจบบทมาศไท้ ธาศรี ศากยแฮ
หัตถ์บังคมฟูมไนย เลือดย้อย
บวงสรวงสุมาลี นานไฝ่ สมแฮ
เดือนใฝ่หาละห้อย ใฝ่หา
รายนุชเป็นเนตรล้า เป็นองค พี่แม่
จับจึงมาข่มเข็ญ ขึ้นไส้
รลวงพิไลจง จักแม่ ดยวแม่
เดือนแปดแปดยามไห ร่ำโหย
ในการนิพนธ์นั้น เริ่มด้วยการไหว้พระพรหม พระนารายณ์ เทพยดา พระมหากษัตริย์ แล้วเริ่มกล่าวถึงนางที่รัก อันต้องจากไกล แล้วพรรณาอาลัย ตั้งแตเดือน 5 เป็นลำดับไปจนถึงเดือนสิบสอง การพรรณานารักนั้นเคล้าไปกับอากาศธาตุและเหตุการณ์ต่าง ๆ อันเกิดขึ้นในเดือนนั้น ๆ เมื่อครบสิบสองเดือนแล้วจึงพรรณาพระเกียรติยศ กล่าวถวายพระพรและแสดงความมุ่งหมายในการนิพนธ์ โดยรี่นหลัง ๆ จะกล่าวว่า บทนิพนธ์นี้เป็นกวีรส คือ กวีที่มีความนัยอันพิศวาศ ซึ่งเป็นแบบอย่างให้ผู้นิพนธ์ต่อมา นำไปใช้ ถ้อยคำอันเป็นโบราณหลายคำ และ ภาษาอื่น เช่น เขมร บาลี สันสกฤต จึงยากที่จะเข้าใจได้อย่างถูกต้อง นอกจากจะสันนิษฐานเอา
โคลงนิราศพระยาตรัง
โคลงนิราศพระยาตรัง
กวี : พระยาตรัง (พระยาตรังคภูมาภิบาล
ประเภท : นิราศ
คำประพันธ์ :โคลงสี่สุภาพ
ความยาว : 126 บท
สมัย : รัตนโกสินทร์(ต้นรัชกาลที่ 2)
ปีที่แต่ง : ราวพ.ศ. 2352
ชื่ออื่น : โคลงนิราศถลาง
โคลงนิราศพระยาตรัง หรือ โคลงนิราศถลาง เป็นนิราศคำโคลง แต่งโดยพระยาตรังคภูมาภิบาล หรือที่รู้จักกันดีว่า พระยาตรัง ซึ่งเป็นเจ้าเมืองตรังในสมัยกรุงธนบุรี และช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ นิราศเรื่องนี้ไม่ปรากฏชื่อเรื่อง แต่เรียกกันโดยทั่วไปว่านิราศพระยาตรังบ้าง โคลงนิราศพระยาตรัง บ้างก็เรียก นิราศตรัง หรือโคลงนิราศถลาง
โคลงนิราศพระยาตรัง นับเป็นโคลงนิราศเรื่องหนึ่งที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี โดยีมอายุร่วมสมัยกัยโคลงนิราศของนายนรินทรธิเบศร์ หรือนิราศนรินทร์ ซึ่งจะว่าเป็นยอดของโคลงนิราศเช่นกัน
ประวัติ
นิราศเรื่องนี้ เข้าใจว่าพระยาตรังคงจะแข่งขึ้นเมื่อคราวออกศึกถลางครั้งที่ 2 ในต้นรัชกาลที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2352 เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหเยกทิพไปรบมือกับพม่า ที่ส่งกองทัพบุกมายังเมืองถลาง (ภูเก็ต)
เหตุการณ์ในครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เพียง 2 เดือน ก็มีการเกณฑ์ทัพลงไปทางหัวเมืองปักษ์ใต้ฝั่งตะวันตก จำนวนนับ 2 พันนาย โดยมีสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ เป็นจอมทัพ เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันอังคาร เดือนอ้าย ขึ้น 13 ค่ำ ทั้งนี้ยังมีการรวบรวมพลในหัวเมืองทางใต้อย่างนครศรีธรรมราชเพิ่มเติมด้วย
นิราศเรืองนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก ในหนังสือวชิรญาณ พร้อมด้วยนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย เมื่อ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445)
ต้นฉบับในหอสมุดแห่งชาติ มีสมุดไทย 7 เล่ม ด้วยกัน มีเนื้อหาแตกต่างกันไปบ้าง เล็กๆ น้อยๆ แต่มี 3 เล่ม ที่มีเนื้อหาครบถ้วน 126 บท ในการชำระและจัดพิมพ์ขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2547 กรรมการชำระได้ทำหมายเหตุระบุเนื้อหาที่แตกต่างในแต่ละฉบับเอาไว้โดยละเอียด
เส้นทาง
พระยาตรังซึ่งรับราชการในกรุงเทพฯ เวลานั้นดี้วมทัพไปในคราวนี้ด้วย แต่ไม่ได้ร่วมไปในทัพหลวง เพราะใช้เส้นทางเดินทัพต่างจากของนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) โดยทัพของพระยาตรังเคลื่อนเข้าคลองลัด ไปทางเมืองสมุทรปราการ จนถึงปากน้ำ แล่นเรือเลียบชายฝั่งทะเลตะวันออก แล้วตัดข้ามทะเลไปตามชายฝั่งภาคใต้ จนถึงเมืองชุมพร แล้วเดินทางต่อไปถึงไชยา จากนั้นก็ย้อนกลับมาที่หลังสวน
คำประพันธ์
นิราศพระยาตรังแต่งด้วยโคลงสี่สุภาพเป็นหลัก โดยมีร่ายสุภาพนำเพียง 15 วรรค และยังนับเป็นวรรรณกรรมเพียงเรื่องเดียวของพระยาตรัง ที่แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ (นอกจากนี้ล้วนแต่งด้วยโคลงสี่ดั้น และเพลงยาว)
เนื้อหา
ช้วงต้นเป็นบทชมพระนคร และไว้ครูตามธรรมเนียมการประพันธ์ จากนั้นเป็นการพร่ำพรรณาความรู้สึกถึงหญิงที่รัก บรรยายสถานที่ระหว่างเส้นทาง โดยมักสอดแทรกความรู้สึกและเล่นคำพ้องเสียงที่เชื่อมโยงไปถึงอารมณ์ผูกพันที่มีต่อคนรักของตน โดยเล่าถึงสถานที่จาก วัดสามปลื้ม ฉางเกลือ วัดทอง วัดราชบุรณะ วัดดอกไม้ พระประแดง จนถึงปากน้ำ แล้วผ่านเกาะต่างๆ ถึงสามร้อยยอด สุดท้ายพรรณนาถึงเกาะทะลุ และแหลมไทร จากนั้นไม้ได้บรรยายสถานที่อีก
โคลงพยุหยาตราเพชรพวง
โคลงพยุหยาตราเพชรพวง เป็นโคลงว่าด้วยกระบวนพยุหยาตราเพชรพวง ตามขนบครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา
ประวัติ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่งโคลงพยุหยาตราเพชรพวง ซึ่งเป็นตำราว่าด้วยขบวนพยุหยาตราครั้งสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งมีทั้งขบวนพยุหยาตราชลมารคและสถลมารค แต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ
โคลงโลกนิติ
โคลงโลกนิติ
กวี : สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (จารึกวัดโพธิ์)
ประเภท : โคลงสุภาษิต
คำประพันธ์ :โคลงสี่สุภาพ
ความยาว : ๔๐๘ บท (สมุดไทย)
๔๓๕ บท (จารึกวัดโพธิ์ฯ)
๙๑๑ บท (ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)
๙๐๒ บท (ฉบับกรมวิชาการ)
สมัย : รัตนโกสินทร์
ปีที่แต่ง : พ.ศ. ๒๓๗๔
ชื่ออื่น : ประชุมโคลงโลกนิติ
โคลงโลกนิติ เป็นวรรณกรรมประเภทคำสอน ในลักษณะของโคลงสุภาษิต คำว่า โลกนิติ (อ่านว่า โลก-กะ-นิด) แปลว่า ระเบียบแบบแผนแห่งโลก
เนื้อหาในโคลงโลกนิติจึงมุ่งแสดงความจริงของโลกและสัจธรรมของชีวิต เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้เท่าทันต่อโลก และเข้าใจในความเป็นไปของชีวิต พร้อมเป็นแม่แบบเพื่อให้ผู้อ่านได้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้องดีงามสืบไป
โคลงโลกนิติมีความไพเราะเหมาะสมทั้งด้านรูปแบบและเนื้อหาปรัชญาสาระ ครบคุณค่าทางวรรณกรรม ทำให้เป็นที่แพร่หลายในหมู่คนทั่วไป บางท่านกล่าวยกย่องโคลงโลกนิติว่าเป็น อมตะวรรณกรรมคำสอน หรือ ยอดสุภาษิตอมตะ[1], ได้รับคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นบทอ่านในหนังสือแบบเรียนสำหรับนักเรียนนักศึกษาอยู่ทุกยุคสมัย และได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในหนังสือดี ๑๐๐ เล่มที่คนไทยควรอ่าน
ประวัติ
• สำนวนเก่า
โคลงโลกนิติเชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยนักปราชญ์ในสมัยนั้นได้คัดเลือกหาคาถาสุภาษิตภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ เช่น คัมภีร์โลกนิติ, คัมภีร์ธรรมนีติ, คัมภีร์ราชนีติ, หิโตปเทศ, ธรรมบท และ พระไตรปิฎก เป็นต้น มาถอดความแล้วเรียบเรียงแต่งเป็นโคลงโลกนิติ
• ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ฯ) ในปี พ.ศ. ๒๓๗๔ ก็มีดำริให้จารึกวิชาการสาขาต่างๆ ไว้บนแผ่นศิลาที่ประดับไว้ตามเสาหรือกำแพงพระวิหาร ในการนี้จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรมขุนเดชอดิศร (ต่อมาได้ดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร) ทรงชำระโคลงโลกนิติของเก่าให้ประณีตไพเราะยิ่งขึ้น เพื่อจารึกไว้ในคราวเดียวกัน
จำนวนโคลงโลกนิติที่ปรากฏต้นฉบับในสมุดไทยมีทั้งสิ้น ๔๐๘ บท แต่ที่จารึกไว้ในวัดพระเชตุพนฯ แผ่นละบท มี ๔๓๕ แผ่น (รวมโคลงนำ ๒ บท) คาดว่ามีโคลงที่แต่งเพิ่มเติมเพื่อให้พอดีกับพื้นที่จารึก
• สำนวนอื่น
o ปี พ.ศ. ๒๓๘๕ โลกนิติคำฉันท์ แต่งเป็นคำฉันท์โดย ขุนสุวรรณสารวัด
o ปี พ.ศ. ๒๔๒๘ โลกนิติคำโคลง อีกสำนวน เข้าใจว่าแต่งโดย พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
• ฉบับชำระ
ภายหลังมีการรวบรวม สอบทาน และจัดพิมพ์เผยแพร่โคลงโลกนิติ ดังนี้
•
o หนังสือสอนอ่านฯ สุภาสิตโลกนิติ์คำโคลง
รวบรวม สอบทาน และจัดพิมพ์โดยกรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๗ เพื่อใช้เป็นหนังสือแบบเรียนสำหรับนักเรียน โดยนำโคลงที่สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงชำระไว้ ๔๐๘ บท ที่ปรากฏในต้นฉบับสมุดไทย (รวมโคลงนำ ๒ บท โคลงส่งท้าย ๒ บท และโคลงที่ซ้ำกันอยู่ ๕ บท) มาพิมพ์ร่วมกับโคลงอีก ๓๐ บท ที่พบในแผ่นศิลาวัดพระเชตุพนฯ
•
o ประชุมโคลงโลกนิติ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ
หอสมุดแห่งชาติจัดพิมพ์โคลงโลกนิติที่เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร ร่วมกับโคลงโลกนิติสำนวนเก่าที่มีการค้นพบเป็นจำนวนมากจากหอพระสมุดวชิรญาณ พร้อมระบุคาถาอันเป็นที่มาของโคลง และจัดรวบรวมกันเป็นชุดๆ ได้โคลงภาษิตรวม ๕๙๓ ชุด จำนวน ๙๑๑ บท (ไม่รวมโคลงนำ ๒ บท และโคลงส่งท้าย ๒ บท) พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐
•
o ประชุมโคลงโลกนิติ ฉบับกรมวิชาการ
เป็นฉบับที่คณะกรรมการคัดสรรและเผยแพร่วรรณกรรมของชาติ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ นำต้นฉบับ หนังสือสอนอ่านฯ สุภาสิตโลกนิติ์คำโคลง และ ประชุมโคลงโลกนิติ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ มาสอบทาน แก้ไขอักขระ ตัดโคลงที่ซ้ำซ้อน เพิ่มเติมคาถา จัดทำคำอธิบายศัพท์ และจัดหมวดหมู่ใหม่ในโคลงบางชุด ทำให้ได้โคลงภาษิตรวม ๕๙๔ ชุด จำนวน ๙๐๒ บท (รวมโคลงนำ ๒ บท และโคลงส่งท้าย ๔ บท) พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓
• ฉบับคัดลอก ที่น่าสนใจ เช่น
o กระทรวงศึกษาธิการ คัดโคลงบางบท บรรจุลงเป็นบทเรียนอ่านหนึ่งใน หนังสือแบบเรียน วิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษา
o โคลงโลกนิติ ฉบับถอดความ ถอดความโดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย อ้างจาก ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ ทั้ง ๔๓๕ บท แต่ละบทประกอบด้วย บทโคลง, บทแปลคำศัพท์, บทถอดความ
รูปแบบของหนังสือประชุมโคลงโลกนิติ
ประชุมโคลงโลกนิติ ฉบับกรมวิชาการ
หนังสือประชุมโคลงโลกนิติ[2] ขึ้นต้นด้วยโคลงนำ ๒ บท คือ
๏ อัญขยมบรมนเรศเรื้อง รามวงศ์
พระผ่านแผ่นไผททรง สืบไท้
แสวงยิ่งสิ่งสดับองค์ โอวาท
หวังประชาชนให้ อ่านแจ้งคำโคลง
๏ ครรโลงโลกนิตินี้ นมนาน
มีแต่โบราณกาล เก่าพร้อง
เป็นสุภสิตสาร สอนจิต
กลดั่งสร้อยสอดคล้อง เวี่ยไว้ในกรรณ
จากนั้น จะแยกโคลงออกเป็นชุดๆ แต่ละชุดมีส่วนประกอบดังนี้
• ตัวเลขลำดับกำกับชุด
• คาถา โดยชุดที่มีคาถา จะเขียนคาถาไว้ที่ต้นบท พร้อมชื่อคัมภีร์อันเป็นที่มาของคาถานั้น
o ถ้าโคลงชุดนี้ไม่มีคาถา จะเขียนว่า ไม่พบคาถา
• อ้างอิงท้ายคาถา (ถ้ามีคาถา)
o แหล่งที่มา เช่น คัมภีร์โลกนิติ, คัมภีร์ธรรมนีติ, คัมภีร์ราชนีติ, หิโตปเทศ, ธรรมบท, พระไตรปิฎก
o ถ้าไม่พบที่มาของคัมภีร์ จะเขียนว่า ไม่ปรากฏที่มา
• ตัวโคลง
• อ้างอิงท้ายโคลง
o โคลงสำนวนเก่า จะเขียนว่า สำนวนเก่า
o โคลงพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (จารึกวัดพระเชตุพนฯ) จะเขียนว่า สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร
ตัวอย่าง
โคลงชุดที่ ๑๗๐ เป็นดังนี้
๑๗๐.
ปฐพฺยา มธุรา ติณี อุจฺฉุ นารี สุภาสิตํ
อุจฺฉุนารีสุ ตปฺปนฺติ น ตปปติ สุภาสิตํ
ไม่ปรากฏที่มา
๏ รสหวานในโลกนี้ มีสาม
หญิงรูปบริสุทธิ์งาม อีกอ้อย
สมเสพรสกลกาม เยาวโยค
หวานไป่ปานรสถ้อย กล่าวเกลี้ยงไมตรี
สำนวนเก่า
๏ หวานใดในโลกนี้ มีสาม สิ่งนา
หวานหนึ่งคือรสกาม อีกอ้อย
หวานอื่นหมื่นแสนทราม สารพัด หวานเอย
หวานไป่ปานรสถ้อย กล่าวเกลี้ยงคำหวาน
สมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร
หนังสืออื่นที่มีที่มาจากคัมภีร์โลกนิติ
นอกจากโคลงโลกนิติสำนวนเก่า และโคลงโลกนิติในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศรแล้ว ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่มีที่มาจาก คัมภีร์โลกนิติ (กล่าวคือ มีที่มาเดียวกับโคลงโลกนิติ ไม่ใช่แต่งไปจากโคลงโลกนิติ) ได้แก่
• โลกนิติคำฉันท์
ประพันธ์โดยขุนสุวรรณสารวัด เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๕ เป็นคำฉันท์จำนวน ๒๖๕ บท ตามคาถาของคัมภีร์โลกนิติ
• โคลงโลกนิติ จากหนังสือวชิรญาณ เล่ม ๒ จ.ศ. ๑๒๔๗
เป็นการรวบรวมคัมภีร์โลกนิติ ฉบับภาษาบาลี ซึ่งมี ๗ กัณฑ์ โคลงโลกนิติ พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ พระยาเดชาดิศร และโคลงโลกนิติ ที่เข้าใจว่าเป็นสำนวนของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เข้ามารวมพิมพ์ไว้ในเล่มเดียวกัน
• โลกนิติไตรพากย์ หรือ โลกนิติคารม
ประพันธ์และเรียบเรียงโดยพระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) โดยจัดทำเป็น ๓ ภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จำแนกเนื้อหาออกเป็น ๗ กัณฑ์ ตามคัมภีร์โลกนิติ รวมมีทั้งสิ้น ๑๖๗ คาถา พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๑
• โลกนิติปกรณ์
ถอดคำประพันธ์ของคัมภีร์โลกนิติทั้ง ๗ กัณฑ์ ออกเป็นร้อยแก้วภาษาไทย โดย แสง มนวิทูร มีทั้งสิ้น ๑๕๘ คาถา
• โลกนิติ - สุตวัฑฒนนีติ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ราชบัณฑิตยสถานได้ชำระและแปลคัมภีร์โลกนิติและคัมภีร์สุตวัฑฒนนีติ ออกเป็น ๔ ภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาบาลีเขียนเป็นอักษรโรมัน ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมมีทั้งสิ้น ๑๖๗ คาถา พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐
เชิงอรรถ
1. ^ สุปาณี พัดทอง, "โคลงโลกนิติ" อมตะวรรณกรรมคำสอน
2. ^ ในที่นี้เป็นรูปแบบตามหนังสือประชุมโคลงโลกนิติ ฉบับกรมวิชาการ
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น