วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วรรณคดี 6

เงาะป่า

เงาะป่า อาจหมายถึง
• เงาะป่า (วรรณคดี) พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
• เงาะป่า (กลุ่มชาติพันธุ์) เรียกอีกอย่างว่า ซาไก
• เงาะป่า (พรรณไม้) พรรณไม้ชนิดหนึ่งในวงศ์มุ่นดอย (Elaeocarpaceae)
• เงาะป่า (ภาพยนตร์ไทย) ภาพยนตร์ไทยในปี พ.ศ. 2522









จันทโครพ

จันทโครพ เป็นเจ้าชายแห่งเมืองพาราณสี ได้ออกแสวงหาอาจารย์เพื่อรำเรียนวิชา แล้วได้เจอกับพระฤๅษี ได้ร่ำเรียนวิชาจากท่านจนสำเร็จ จึงได้เดินทางกลับบ้านเมืองของตน ก่อนที่จะออกเดินทางฤๅษีได้มอบผอบแก้วให้แล้วสั่งกำชับว่าห้ามเปิดจนกว่าจะถึงบ้านเมือง แต่จันทโครพได้เสียสัตย์แอบเปิดผอบนั้นเสียก่อน ซึ่งในผอบมีนางโมราได้ปรากฏตัวออกมา จันทโครพก็ได้พานางโมราเดินทางต่อไปแต่ ระหว่างทางได้พบกับโจรป่า ซึ่งเห็นนางโมราเข้าจึงคิดแย่งชิง จันทโครพก็ถูกโจรป่าฆ่าตาย (นางโมราเห็นจันทโครพตายก็ย่อมไม่ได้ตำแหน่งอัครมเหสีจึงไปอยู่กับโจรป่าเพราะจันทโครพสัญญาว่าจะมอบตำแหน่งอัครมเหสีให้) แต่จันทโครพยังไม่ถึงความตายพระอินทร์จึงมาชุบชีวิตให้จันทโครพแล้วบอกว่าเนื้อคู่ที่แท้จริงอยู่ทางทิศเหนือแล้วพระอินทร์ก็สาปนางโมราให้เป็นชะนี (โจรป่าคิดว่าวันหนึ่งถ้านางโมราได้เจอคนอื่นที่ดีกว่าตนจะต้องทิ้งตนไปแน่เพราะขนาดจันทโครพผู้ที่เป็นถึงองค์ชายนางยังทิ้งได้ดังนั้นโจรป่าจึงหนีไปนางโมราจึงออกตามหาโจรป่า) จันทโครพได้เดินทางไปทางที่พระอินทร์บอกก็พบถำหนึ่งที่มียักษ์คอยเฝ้าอยู่จันทโครพจึงคิดว่าในถ้ำนั้นมีเนื้อคู่ของตนอยู่จึงฆ่ายักษ์ตนนั้นแล้วเดินเข้าไปก็พบผู้หญิงคนหนึ่งชื่อนาง มุจลินทร์จึงอยู่กินกันแล้วจันทโครพคิดถึงพ่อแม่จึงพานางมุจลินทร์หนี (ตอนนั้นนางมุจลินทร์ท้องอ่อนๆด้วย) แล้วเดินไปสักพักก็เหนี่อยแล้วเผลอหลับไปทั้งคู่นางยักษ์จึงนำตัวนางมุจลินทร์ไปฟาดกับต้นไม้แล้วเหวี่ยงไปสุดแรงจากนั้นก็ปลอมตัวเป็นนางมุจลินทร์ไปนอนข้างจันทโครพ เมื่อจันโครพเดินทางมาถึงเมืองก็ขอนอนพักผ่อนแล้วพอตอนกลางคืนนางยักษ์ก็ไปกินวัวของชาวบ้านโดยหารู้ไม่ว่าเจ้าของวัวดูอยู่เจ้าของวัวจึงไปบอกพระราชา (พ่อของจันทโครพ) (นางยักษ์ได้นำเสื้อผ้าที่เลอะเลีอดไปซ่อนไว้) แต่ตอนนั้นดึกมากแล้วจึงพูดกันพรุ่งนี้เช้า เมื่อเช้าแล้วจันทโครพได้ปลุกนางมุจลินทร์ปลอมโดยไม่บอกเรื่องคดีแปลกประหลาดแต่นางยักษ์ไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยแสร้งบอกว่าไม่สบายจันทโครพออกมาเข้าเฝ้าคนเดียวแล้วพระโหราธิบดีก็ตรวจดูดวงให้จันทโครพแล้วบอกว่าพรุ่งนี้ให้จันทโครพพานางมุจลินทร์มาด้วย พอวันรุ่งขึ้นพระโหราธิบดีถามนางมุจลินทร์เกี่ยวกับเวลาที่เกิดแต่นางยักษ์ไม่รู้จึงบอกวันผิดๆไปพระโหราจึงบอกว่า บัดนี้ความจริงเปิดเผยแล้วเจ้าไม่ใช่คนแต่เจ้าเป็นนางยักษ์ นางยักษ์หน้าถอดสีจันทโครพจึงฆ่านางยักษ์ตายแล้วออกตามหานางมุจลินทร์จนพบและตอนนั้นนางมุจลินทร์ได้คลอดบุตรชายชื่อจันทวงศ์ทั้งสามจึงอยู่กันอย่างมีความสุข









จินดามณี

จินดามณี (มีความหมายว่า แก้วสารพัดนึก) เป็นแบบเรียนภาษาไทย มีเนื้อหาครอบคลุมเรื่อง การใช้สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ การแจกลูก การผันอักษร อักษรศัพท์ อักษรเลข การสะกดการันต์ การแต่งคำประพันธ์ ชนิดต่างๆ และกลบท ปรากฏกลบท อยู่ ๖๐ ชนิด มีทั้ง กลอักษร และกลแบบ
จินดามณี แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง โดยพระโหราธิบดี ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และยังเป็นแบบเรียนเล่มแรกของไทยด้วย และจากการที่จินดามณีของพระโหราธิบดี เป็นแบบเรียนไทยมาก่อนจนเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของแบบเรียนไทย ทำให้หนังสือแบบเรียนไทยในยุคต่อมาหลายเล่มใช้ชื่อตามว่า "จินดามณี" เช่นเดียวกัน เช่น จินดามณีฉบับความแปลก จินดามณีครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ จินดามณีฉบับกรมหลวงวงษาธิราชสนิท จินดามณีฉบับพิมพ์ของหมอสมิท และจินดามณีฉบับพิมพ์ของหมอบรัดเล[1]








ไชยเชษฐ์

บทความนี้เกี่ยวกับวรรณกรรม สำหรับกษัตริย์ล้านนาและล้านช้าง ดูที่ สมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราช


ไชยเชษฐ์ เป็นนิทานพื้นบ้านสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีผู้นำนิทานเรื่องนี้มาเล่นเป็นละครเพราะเป็นเรื่องสนุก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงนำนิทานเรื่องไชยเชษฐ์มาพระราชนิพนธ์เป็นบทละครนอก เดิมละครนอกเป็นละครที่ราษฎรเล่นกัน ให้ผู้ชายแสดงเป็นตัวละครทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องไชยเชษฐ์เพื่อให้เป็นบทละครนอกของหลวง และทรงให้ผู้หญิงที่เป็นละครหลวงแสดงอย่างละครนอก
บอกด้วยว่าใครคือผู้แต่ง เข้าใจน่ะ
เนื้อเรื่อง
ท้าวอภัยนุราชเจ้าเมือง เวสาลี มีพระธิดาองค์หนึ่ง ประทานนามว่า นางจำปาทอง เพราะเมื่อนางร้องไห้จะมีดอกจำปาทองร่วงลงมา ครั้นนางจำปาทองเจริญวัยขึ้น นางได้นำไข่จระเข้าจากสระในสวนมาฟักจนเป็นตัวและเลี้ยงจระเข้ไว้ในวัง ครั้นจระเข้เติบใหญ่ขึ้น ก็ดุร้ายตามวิสัยของมัน มันเที่ยวไล่กัดชาวเมืองจนชาวเมืองเดือดร้อนไปทั่ว ท้าวอภัยนุราชทรงขัดเคืองจึงขับไล่นางจำปาทองออกจากเมืองเวสาลี นางแมวซึ่งเป็นแมวที่นางจำปาทองเลี้ยงไว้ได้ติดตามนางไปด้วย นางจำปางทองกับนางแมวเดินซัดเซพเนจรอยู่ในป่า ไปพบยักษ์ตนหนึ่งชื่อ นนทยักษ์ ซึ่งกำลังจะไปเฝ้าท้าวสิงหล นางตกใจกลัวจึงวิ่งหนีไปพบพระฤๅษี พระฤๅษีช่วยนางไว้ นางจำปาทองกับนางแมวจึงขออาศัยอยู่รับใช้พระฤๅษีในป่านั้น
ท้าวสิงหลเป็นยักษ์ครองเมืองสิงหล ไม่มีโอรสและธิดา คืนหนึ่งท้าวสิงหลบรรเทาหลับและทรงพระสุบินว่า มียักษ์ตนหนึ่งมาจากป่านำดอกจำปามาถวาย ดอกจำปามีสีเหลือเหมือนทองคำงามยิ่งนัก ท้าวสิงหลจึงทรงให้โหรทำนายพระสุบิน โหรทำนายว่าท้าวสิงหลจะได้พระธิดา วันนั้นนนทยักษ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหลและทูลว่าพบหญิงสาวอาศัยอยู่กับพระฤๅษีที่ในป่า ท้าวสิงหลจึงเสด็จไปหาพระฤๅษี และขอนางจำปาทองมาเป็นธิดา ประทานนามว่านางสุวิญชา
ฝ่ายพระไชยเชษฐ์เป็นโอรสเจ้าเมืองเหมันต์ พระไชยเชษฐ์มีพระสนมอยู่ 7 คน วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสป่า และหลงทางเข้าไปในสวนเมืองสิงหล นางสุวิญชา มาเที่ยวชมสวนพบพระไชยเชษฐ์จึงนำความทูลให้ท้าวสิงหลทราบ ท้าวสิงหลให้พระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้า พระไชยเชษฐ์จึงทูลขอรับราชการในเมืองสิงหล ต่อมามีข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสิงหล พระไชยเชษฐ์อาสาสู้ศึกจนชนะ ท้าวสิงหลจึงทรงยกนางสุวิญชาให้เป็นชายาพระไชยเชษฐ์ พระไชยเชษฐ์จึงพานางสุวิญชากลับเมืองเหมันต์
ฝ่ายนางสนมทั้ง 7 คนริษยานางสุวิญชาที่พระไชยเชษฐ์รักนางสุวิญชามากกว่า ครั้นนางสุวิญชาทรงครรภ์จวนจะถึงกำหนดคลอดนางสนมทั้ง 7 คน ก็ออกอุบายว่ามีช้างเผือกอยู่ในป่า พระไชยเชษฐ์จึงออกไปคล้องช้างเผือก ฝ่ายนางสุวิญชาคลอดลูกเป็นกุมารมีศรกับพระขรรค์ติดดัวมาด้วย นางสนมทั้ง 7 คน นำพระกุมารใส่หีบไปฝังที่ใต้ต้นไทรในป่า เทวดาประจำต้นไม้ช่วยชีวิตพระกุมารไว้ เมื่อพระไชยเชษฐ์เสด็จกลับจากคล้องช้างเผือก นางสนมทั้ง 7 คน ทูลว่านางสุวิญชาคลอดลูกเป็นท่อนไม้ พระไชยเชษฐ์จึงขับไล่นางสุวิญชาออกจากเมือง ขณะที่นางสุวิญชาคลอดกุมารนั้น นางแมวแอบเห็นการกระทำของนางสนมทั้ง 7 คน จึงพานางสุวิญชาไปขุดหีบที่ใต้ต้นไทร แล้วพาพระกุมารกลับไปเมืองสิงหล ท้าวสิงหลตั้งชื่อพระกุมารว่า พระนารายณ์ธิเบศร์
ต่อมาพระไชยเชษฐ์ทรงรู้ความจริงว่านางสุวิญชาถูกใส่ร้าย จึงออกติดตามนางสุวิญชาไปเมืองสิงหลและได้พบพระนารายณ์ธิเบศร์ ซึ่งกำลังประพาศป่ากับพระพี่เลี้ยง พระไชยเชษฐ์เห็นพระนารายณ์ธิเบศร์เป็นเด็กน่ารัก มีหน้าตาคล้ายพระองค์ก็มั่นใจว่าเป็นพระโอรส จึงเข้าไปขออุ้มและเอาขนมนมเนยให้ พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธว่าเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่ให้จับต้องและไม่ยอมเสวยขนม
พระนารายณ์ธิเบศร์โกรธพระไชยเชษฐ์ที่มาจับต้องตัวและจับหัวของพระพี่เลี้ยงของตนจึงใช้ศรธนูหมายจะฆ่าให้ตายแต่ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้กระจายเติมพื้นดิน จึงทำให้พระไชยเชษฐ์เกิดความประหลายใจยิ่งนัก จึงอธิฐานจิตว่าถ้ากุมารองค์นี้เป็นลูกของตนที่เกิดกับนางสุวิญญาขอให้ธนูที่ยิงออกไปนั้นกลายเป็นอาหาร ทันใดนั้นพระไชยเชษฐ์ก็แผลงศรออกไป และศรธนุที่ยิงออกไปนั้นก็กลายเป็นอาหารมากมายเต็มพื้น จึงทำให้พระไชยเชษฐ์มั่นใจเป็นแน่แท้ว่าเป็นบุตรของตนจริง
พระไชยเชษฐ์ทรงไต่ถามพระนารายณ์ธิเบศร์เกี่ยวกับมารดา เพราะทรงจำแหวนที่พระนารายณ์ธิเบศร์สวมได้ พระนารายณ์ธิเบศร์บอกว่านางสุวิญชาเป็นแม่และท้าวสิงหลเป็นพ่อ พระไชยเชษฐ์จึงทรงเล่าเรื่องเดิมให้พระนารายณ์ธิเบศร์ฟัง ทั้งสองจึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน พระนารายณ์ธิเบศร์พาพระไชยเชษฐ์เข้าเฝ้าท้าวสิงหล พระไชยเชษฐ์ขอโทษนางสุวิญชา พระนารายณ์ธิเบศร์ช่วยทูลนางสุวิญชาให้หายโกรธพ่อ นางสุวิญชายกโทษให้ พระไชยเชษฐ์ นางสุวิญชา และพระนารายณ์ธิเบศร์ สามคนพ่อแม่ลูกจึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข










ไชยทัต
ไชยทัต
กวี : ไม่ปรากฏ
ประเภท : บทละครนอก,กลอนสวด
คำประพันธ์ :กลอนบทละคร,กาพย์
สมัย : อยุธยา
ชื่ออื่น : ไชยสุริวงศ์



ไชยทัต เป็นวรรณคดีนิทานเรื่องหนึ่งในจำนวน ๑๔ เรื่องที่เป็นที่นิยมกันมากในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยมากมักจะนำมาเล่นเป็นละครนอก, ละครหุ่นหลวง หรือแม้กระทั่งนำมาเป็นกลอนสวด เพื่อสวดอ่านตามวัดต่างๆ ของภาคกลางในสมัยก่อน รวมทั้งยังนำมาเป็นการแสดงในงานมหรสพสมโภชต่าง ๆ เช่น งานสมโภชพระพุทธบาท ดังมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดีสมัยอยุธยา เรื่องปุณโณวาทคำฉันท์ของพระมหานาค วัดท่าทราย ที่ได้พรรณนาถึงการแสดงละครหุ่นหลวงไว้ดังนี้

ฝ่ายหุ่นก็ตั้งโห่ ศัพทส้าวกระโหมโครม
ชูเชิดพระโคโดม ทวิพราหมณรณรงค์
เริ่มเรื่องพระไชยทัต จรเสด็จพนาพง
ลอบล้อมมฤคยง อสุรท้าวกุเวรแปลงฯ
ตอนที่นิยมนำมาเล่นกันมากในการแสดงละครนอกและละครหุ่นหลวงคือ ตอนไชยทัตต้องคุณนอกจากนี้ เรื่องไชยทัตก็ยังได้รับความนิยมมาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เนื้อเรื่อง
พระไชยทัตเป็นโอรสของท้าวโกมลกับนางแก้วจิตราผู้ครองเมืองพรหมกุศนครเมื่อตอนเกิดมาก็มีศรวิเศษและม้าคู่บุญบารมีเกิดตามมาด้วย ต่อมาไชยทัตก็ได้อภิเษกกับนางสุพรรณทลิกาซึ่งเป็นธิดากษัตริย์ที่ท้าวโกมลได้เลือกไว้ให้ วันหนึ่งไชยทัตพานางสุพรรณทลิกาขี่ม้าชมอุทยาน พญายักษ์กระเวน ออกหาอาหารในป่า เห็นมนุษย์ก็คิดจับกินจึงแปลงเป็นกวางทองมาล่อให้ไชยทัตออกตาม จนพลัดกับเหล่าทหารเสนา ยักษ์กุเวรกลับคืนร่างเดิมแล้วไล่จับกิน พระไชยทัตหลบหนีเข้าไปซ่อนในโพรงไม้ด้วยความช่วยเหลือของรุกขเทวดา ยักษ์กุเวรครั้นหาไม่พบจึงจับม้ากินแล้วกลับไป
กล่าวถึงพระดาบสเก็บกุมารีน้อยได้จากผลมะเดื่อใหญ่ จึงนำมาเลี้ยงดูจนโตแล้วตั้งชื่อว่า นางอุทุมพรนางอยู่คอยปรนบัติอุปัฏฐากพระฤๅษี จนกระทั่งวันหนึ่งพญายักษ์คนธรรพ์ครองเมืองอินทปัทม์ ผ่านมาเห็นนางก็ชอบใจ จงได้มาสู่ขอกับพระฤๅษีแต่ถูกปฏิเสธ เนื่องจากพระฤๅษีได้ดูดวงชะตาแล้วนางอุทุมพรต้องเป็นชายาของกษัตริย์ไชยทัตเท่านั้น
จนกระทั่งพระไชยทัตรอนแรมมาในป่ามาถึงอาศรมพระฤๅษี ได้พบกับนางอุทุมพรแล้วได้นางเป็นชายาพระฤๅษีจึงทำพิธีวิวาห์ให้ ยักษ์คนธรรพ์ยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ จึงแปลงเป็นพระไชยทัตเข้ามาสวมรอยหานาง ขณะที่พระไชยทัตตัวจริงออกหาผลไม้ในป่า พระฤๅษีเสกมนต์ขัดขวางไว้ได้ทัน พญายักษ์จึงบันดาลให้หมอกคลุมไปทั่วแล้วอุ้มนางเหาะหนีไป พระไชยทัตจึงแผลงศรวิเศษเป็นตาข่ายเพชรกั้นไว้ พญายักษ์สู้ไม่ได้จึงต้องเหาะหนีไป
พระไชยทัตได้ติดตามไปจนพบกระดูกม้าซึ่งถูกยักษ์กระเวนจับกิน จึงเก็บมาให้พระดาบสชุบชีวิตให้ใหม่ และมีฤทธิ์มากกว่าเดิมเหาะเหินเดินอากาศได้ พระไชยทัตจึงอำลาพระฤๅษีแล้วพานางอุทุมพรกลับเมือง พระฤๅษีได้มอบของวิเศษเป็นน้ำมันชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นมอบติดตัวไป ระหว่างแวะพักหลับนอนกลางทาง ม้าวิเศษถูกพญายักษ์คนธรรพ์ลักไป พระไชยทัตออกติดตามม้าจึงพลัดพรากจากนางอุทุมพร ระหว่างทางนางยักษ์วาสันซึ่งเป็นมเหสีของยักษ์กระเวนออกมาเที่ยวป่าเห็นนางอุทุมพรกระเซอะกระเซิงจึงไม่คิดจับกิน กลับจับนางไปเป็นสาวใช้ซึ่งขณะนั้นนางกำลังตั้งครรภ์อยู่
พระไชยทัตออกติดตามม้ากลับมาไม่พบนางอุทุมพรจึงออกติดตาม พบยักษ์คนธรรพ์นอนสิ้นชีวิตอยู่ในป่าจึงใช้น้ำมันชุบขึ้นมา พญายักษ์ซาบซึ้งบุญคุณจึงยอมถวายตัวเป็นทาสรับใช้แล้วเล่าความจริงให้ฟังว่า ตนขี่ม้าเหาะข้ามเมืองของท้าวสนตรา ถูกยักษ์สนตราฆ่าตายแล้วแย่งเอาม้าไป แล้วทั้งสองจึงพากันออกติดตามไปจนถึงเมืองของท้าวสนตรา
พญายักษ์คนธรรพ์ออกอุบายชักนำให้พระไชยทัตลอบเข้าหานางวรจันทร์ซึ่งเป็นธิดาของยักษ์สนตรา จนได้นางเป็นชายา ความล่วงรู้ไปถึงท้าวสนตราก็โกรธกริ้วยิ่งนัก สั่งให้สุนธรน้องชายของนางวรจันทร์ไปตาม ก็แพ้พระไชยทัตกลับมา ท้าวสนตราจึงให้วาทีขุนยักษ์นำไพร่พลล้อมจับพระไชยทัตขังไว้ในกรงเหล็กรวมกับม้าของพระองค์ พญายักษ์คนธรรพ์ลอบเข้ามาฆ่าพลทหารยักษ์แล้วทำลายกรงเหล็กช่วยพระไชยทัตออกมาได้สำเร็จ พระไชยทัตต่อสู้กับยักษ์สนตราจนสามารถแผลงศรไปฆ่ายักษ์สนตราได้สำเร็จ แล้วจึงอภิเษกให้ยักษ์สุนธรซึ่งเป็นน้องชายของนางวรจันทร์ครองเมืองต่อไป พร้อมทั้งฝากนางวรจันทร์ไว้ ส่วนพระองค์พร้อมทั้งยักษ์คนธรรพ์และม้าก็ออกติดตามนางอุทุมพรต่อไป
ระหว่างทางก็พบกับยักษ์กระเวนนอนตายอยู่กลางป่า จึงชุบชีวิตให้ฟื้นแล้วไต่ถามได้ความว่านางวาสันส่งนางอุทุมพรไปอยู่ที่สวนขวาพญาครุฑเอานางกลับไปยังวิมานฉิมพลี ฝ่ายพญาครุฑก็ไม่สามารถเข้าใกล้นางได้เพราะนางอธิษฐานขอให้เป็นกระเทย ไชยทัตจึงได้ออกติดตามแล้วฆ่าพญาครุฑเสีย
จากนั้นทั้งหมดก็พากันกลับเมืองพรหมกุศ ไชยทัตก็ฝากนางไว้กับพระมารดาและนางสุพรรณทลิกา ส่วนตนจะกลับไปรับนางวรจันทร์กลับมา นางสุพรรณทลิกามีจิตริษยานางอุทุมพร จึงกระทำทารุณนางต่าง ๆ นา ๆ ใช้ให้ทำงานหนักแล้วส่งไปอยู่กับตายายที่สวนขวา ครั้นทางอุทุมพรคลอดโอรส ก็สั่งให้นางกำนัลจับไปใส่หีบทิ้งน้ำ พร้อมทั้งกล่าวหาว่านางอุทุมพรคบชู้ พระฤๅษีซึ่งเป็นบิดาของนางอุทุมพรทราบด้วยญาณจึงมารับพระกุมารไปเลี้ยงตั้งชื่อให้ว่าไชยสุริวงศ์
พระไชยทัตเมื่อกลับมาถึงเมืองพร้อมกับนางวรจันทร์ และพระโอรสชื่อทรงภานุต แล้วพากันเข้าเฝ้าพระชนนี นางแก้วจิตราเมินหมางกับนางอุทุมพร นางอุทุมพรก็เข้าเฝ้าแล้วเล่าความจริงให้ฟังทั้งหมด นางแก้วจิตราจึงให้ตามนางสุพรรณทลิกามาซักถาม นางสุพรรณทลิกาไม่ยอมรับกลับเข้าตบตีนางอุทุมพร พระไชยทัตกริ้วจึงให้ลงโทษนางสุพรรณทลิกา นางสุพรรณคีรีซึ่งเป็นมารดาของนางสุพรรณทลิกาจึงให้หลวงชีสัทธามาทำเสน่ห์ถึง ๒ ครั้ง พระไชยทัตต้องคุณจนคลุ้มคลั่ง แต่นางแก้วจิตราเข้าแก้ได้ โดยให้วาทีขุนยักษ์เรียกรูปรอยที่หลวงชีสัทธาทำไว้มาทำลาย นางสุพรรณทลิกาไม่เห็นพระไชยทัตมาหาจึงทำพิธีอีก วาทีขุนยักษ์จึงเข้าแก้ไขโดยให้ยักษ์คนธรรพ์ไปห้ามรถพระอาทิตย์ไว้ไม่ให้ขึ้นสู่ขอบฟ้าก่อนพระไชยทัตฟื้น เพราะพระไชยทัตคือองค์นารายณ์อวตารมา และให้เก็บใบจักรนารายณ์มาเป็นยาแก้
เมื่อพระไชยทัตอาการเป็นปกติแล้ว ยักษ์คนธรรพ์ก็รับอาสาไปจับหลวงชีสัทธา พร้อมทั้งสมุนคือ เณรชัย และ เณรพร โดยมีการแปลงเป็นสัตว์ต่าง ๆ ไล่จับกันจนได้ตัว นางสุพรรณทลิกาไม่ยอมรับในเรื่องทำเสน่ห์ กลับกล่าวหานางอุทุมพรโดยมีพยานปรักปรำ นางอุทุมพรจึงขอพิสูจน์ความดีด้วยการลุยไฟเทวดาจึงพรมน้ำทิพย์รักษาไว้เพราะนางบริสุทธิ์ ส่วนนางสุพรรณทลิกาถูกไฟลวกจนปวดแสบปวดร้อน เมื่อความจริงปรากฏ ไชยทัตจึงให้ประหารชีวิตนางสุพรรณทลิกา หลวงชีสัทธา เณร และตายายที่บังคับนางอุทุมพรทำงานหนัก แต่นางอุทุมพรขอชีวิตไว้เนื่องจากนางสุพรรณทลิกาตั้งครรภ์จึงถูกลดโทษเพียงแค่เนรเทศออกจากเมืองไป เนื้อความตามต้นฉบับตัวเขียนจบลงเพียงเท่านี้








ดาหลัง
ดาหลัง
กวี : เจ้าฟ้ากุณฑล
ประเภท : กลอนบทละคร
คำประพันธ์ :กลอนสุภาพ
สมัย : ปลายอยุธยา
ปีที่แต่ง : รัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ลิขสิทธิ์ :กรมศิลปากร

ดาหลัง เป็นบทพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้ากุณฑลที่เป็นพระธิดาในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในขณะนั้นกำลังขาดคนซ้อมละครใน พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงทรงมอบหน้าที่นี้ให้เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ เพราะเห็นว่าเจ้าฟ้าทั้งสองได้ฝึกฝนวิชาจนชำนาญดีแล้ว เมื่อทั้งสองเจ้าฟ้าได้รับหน้าที่ก็ฝึกฝนวิชาอยู่ไม่ได้ขาดจนไม่มีละครที่จะซ้อมกันอีกแล้ว เจ้าฟ้าทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจะแต่งเรื่องอิเหนาแต่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันจึงไปปรึกษาพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศผู้เป็นพระราชบิดา แต่คำตอบที่ได้คือให้แต่งกันคนละเรื่อง เจ้าฟ้าทั้งสองจึงถือโอกาสนี้ประชันฝีมือกัน และเมื่อเจ้าฟ้าทั้งสองพระราชนิพนธ์เสร็จจึงรีบไปให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศดู โดยของเจ้าฟ้ามงกุฎชื่อเรื่องว่าอิเหนาและของเจ้าฟ้ากุณฑลชื่อว่าดาหลัง
เรื่องย่อ
คล้ายกับเรื่องอิเหนา แต่มีส่วนต่างกันคือ ระเด่นมนตรีไปหลงรักสาวชาวไร่ ทำให้ท้าวกุเรปันโกรธถึงกับส่งคนไปลอบสังหารนาง ระเด่นเสียใจมาก จึงออกท่องเที่ยวไปอย่างไร้จุดหมายและทำการรบกับเมืองอื่นๆ จนได้มาอยู่ในปกครองมากมาย ส่วนนางบุษบาก้าโละถูกเนรมิตให้เป็นชายชื่อมิสาประหมังกุหนิง ซึ่งจะกลายเป็นหญิงเมื่อพบอิเหนา นางได้ออกตามหาอิเหนา ส่วนอิเหนาได้ปลอมตัวเป็นดาหลังหรือคนเชิดหนัง ต่อมาได้พบกันและอภิเษกสมรส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น